“สุวรรณ บัวโรย” ประธานศูนย์ฯ นำป้าอู๊ด–ลุงวิเชียร ยื่น กมธ.ตำรวจ หลังถูกกล่าวหาบุกรุกแม้ถือโฉนดถูกต้อง

วันที่ 20 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ที่อาคารรัฐสภา กรุงเทพมหานคร นายสุวรรณ บัวโรย ประธานศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของสมาคมส่งเสริมคุณธรรมตำรวจช่วยเหลือประชาชน และผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ส.ส. จรัส คุ้มไข่น้ำ พร้อมด้วยนางอู๊ด และนายวิเชียร สองสามีภรรยาวัยชราจากอำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ ประธานคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกล่าวหาว่าบุกรุกที่ดิน ทั้งที่มีโฉนดถูกต้องตามกฎหมาย

สืบเนื่องจากเมื่อปลายปี 2567 องค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ได้นำป้าย “ห้ามบุกรุก” และเสาหลักแนวเขตสีแดง มาปักในไร่ยาสูบของสองสามีภรรยา โดยอ้างว่าเป็น “ทางสาธารณประโยชน์” ทั้งที่เอกสารสิทธิ น.ส.4 จ. จำนวน 5 แปลง ระบุชัดว่าเป็นที่ดินติดถนนสาธารณะ ไม่ได้รุกล้ำพื้นที่สาธารณะ

แม้ทั้งคู่จะร้องเรียนต่อหลายหน่วยงานมาตลอดกว่า 10 ปี ตั้งแต่ศูนย์ดำรงธรรม สำนักงานที่ดิน อำเภอ จังหวัด จนถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ปัญหายังคงวนซ้ำ ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2568 เจ้าหน้าที่กลับเข้ามาปักป้ายซ้ำอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าเป็น “ทางสาธารณะ”

การรังวัดที่จัดขึ้นมีเจ้าหน้าที่กว่า 60 นายเข้าร่วม รวมถึงปลัดอำเภอ กำนัน นายก อบต. และฝ่ายปกครองท้องถิ่น โดยมีบางรายพกอาวุธปืนเข้าสู่พื้นที่ สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อเจ้าของที่ดิน ผลการรังวัดกลับกำหนดว่าถนนบริเวณที่ดินของนางอู๊ดต้องกว้างถึง 15 เมตร ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ถนนกว้างเพียง 4 เมตร ยิ่งสร้างข้อกังขาถึงความเป็นธรรม

นายสุวรรณ บัวโรย ประธานศูนย์ฯ ซึ่งได้ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง ยืนยันว่า แผนที่ท้ายโฉนดทั้ง 5 แปลงของนางอู๊ดและนายวิเชียร ระบุชัดว่าเป็นที่ดินติดถนนสาธารณะ ไม่ได้รุกล้ำหรือกินพื้นที่ทางสาธารณะ พร้อมย้ำว่าจะผลักดันให้คณะกรรมาธิการตำรวจตรวจสอบกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบ

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นางอู๊ดได้เข้าแจ้งความที่ สภ.ศรีสำโรง เอาผิดเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และยังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. รวมถึงกรมการปกครอง เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

ป้าอู๊ดเปิดเผยทั้งน้ำตาว่า “ถ้ารัฐต้องการขยายถนน ป้ายินดีให้ ไม่เคยคิดขัดขวาง แต่ต้องทำให้เท่าเทียมกันทุกเจ้าของ ไม่ใช่มาขยายเฉพาะที่ของป้า”

  แม้จะอยู่ในวัยชราและหวาดกลัวอิทธิพลท้องถิ่น แต่ทั้งสองยืนยันว่าจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมจนถึงที่สุด โดยย้ำว่าต้องการเพียงให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามหลักกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ และคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้ถือเอกสารสิทธิถูกต้อง

 กรณีนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องการใช้และการตีความที่ดินสาธารณะ ซึ่งในหลายพื้นที่ของประเทศยังคงสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านที่มีโฉนดถูกต้อง แต่กลับถูกหน่วยงานรัฐกล่าวหาว่าบุกรุก ทั้งยังทำให้เกิดข้อกังขาต่อกระบวนการรังวัดและการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ หากคณะกรรมาธิการตำรวจหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาตรวจสอบอย่างจริงจัง อาจกลายเป็นกรณีตัวอย่างสำคัญที่ช่วยสร้างบรรทัดฐานในการคุ้มครองสิทธิประชาชนในอนาคต

ข่าวชัดประเด็นจริง รายงาน