ตํารวจไซเบอร์ลุยปราบอาชญากรรมออนไลน์ หลังคนไทยกว่า 200 ราย เปลี่ยนใจกลับทํางานแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันนี้(29 ก.ค. 68) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวถึงมาตรการปกป้องประชาชนคนไทยจากภัยคุกคามทางเทคโนโลยี พร้อมยืนยันความร่วมมือระดับนานาชาติ จากสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า ขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยช่วยกันตามที่กองทัพบกเชิญชวนร่วมพลังในโลกออนไลน์ส่งความจริงผ่านผ่านแคมเปญ “Truth From Thailand” เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกทราบความจริงว่ากัมพูชาเปิดฉากยิงใส่ประเทศไทยก่อน มีการยิงจรวดใส่พลเรือน โรงพยาบาลและโรงเรียนทําให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์และเด็กได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

สําหรับการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ตํารวจไซเบอร์ยังดําเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายผลดําเนินคดีกับผู้รับผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นบอสชาวจีน เจ้าของตึกหรืออาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของ “Scam Center” ที่ตั้งอยู่รอบชายแดนไทย

โดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดเผยว่า เมื่อวันก่อนตนเองได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร. และ จเรตํารวจแห่งชาติ ให้ลงพื้นที่ดูการรับตัวคนไทยที่เดินทางกลับมาจากปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งกระบวนการคัดกรองพบว่ากว่า 13 ราย มีหมายจับในคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงคนไทยและอีก 70 ราย พบมีการร้องทุกข์กล่าวโทษดําเนินคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงพี่น้องคนไทย ซึ่งวันที่ตนเองลงพื้นที่ทราบข่าวจากตํารวจ ตม. ว่า วันที่ 27 ก.ค. 68 มีคนไทยอีกกว่า 200 ราย จะเดินกลับมายังประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดคือคนไทยที่ข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ไม่มีหลักฐานการออกนอกประเทศ ส่งผลให้การเดินทางกลับเข้ามาจะต้องผ่านการคัดกรอง แต่เมื่อข่าวการเจรจาหยุดยิงปรากฎขึ้นทราบว่าล่าสุดคนไทยจํานวนกว่า 200 คน เปลี่ยนใจกลับไปทํางานเดิมต่อเหลือกลับเข้ามาจริงเพียงแค่ 74 ราย ซี่งนี้ถือเป็นลางบอกเหตุว่าการทํางาน การหลอกลวงคนไทยของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงดําเนินการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุอีกว่า นักวิชาการต่างประเทศวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งของเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สืบเนื่องจากการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างเข้มข้น ส่งผลกระทบโดยตรงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่หลอกลวงประชาชนทั่วโลกตั้งอยู่ทางฝั่งประเทศกัมพูชา แม้เหตุปะทะจะหยุดลงแต่สถานการณ์หลอกลวงยังคงมีอยู่ซึ่งตํารวจไซเบอร์จะเดินหน้าปราบปรามอย่างเข้มข้น