กมธ.แรงงาน ลุยเชียงใหม่ ตรวจระบบ CI จี้แก้ปัญหาส่วย–ค้าคิวแรงงานเมียนมา จ่อชงรัฐบาลยกเครื่องระบบครั้งใหญ่ ปิดช่องโกงแรงงานข้ามชาติ
1 min read
วันที่ 6 ตุลาคม 2568 คณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายทวี สุระบาล และ นายจรัส คุ้มไข่น้ำ กรรมาธิการ ตลอดจนคณะที่ปรึกษาและข้าราชการรัฐสภา ลงพื้นที่ศึกษาดูงานและตรวจสอบปัญหา ณ ศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity: CI) สำหรับแรงงานเมียนมา ตำบลแม่สา อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ
ภายหลังการเยี่ยมชมและรับฟังบรรยายสรุป นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงประเด็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะการเรียกรับผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งกลายเป็นภาระหนักสำหรับแรงงานข้ามชาติ
“เราได้ข้อสรุปแล้ว และจะเข้าไปตรวจสอบในประเด็นการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งเราไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แม้บางกรณีอาจเป็นความสมยอมเพื่อแลกกับความสะดวก แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ไปริดรอนสิทธิของบุคคลอื่นที่เข้าคิวตามปกติ” นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าว

นายสฤษฏ์พงษ์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ปัญหาดังกล่าวจะถูกยกระดับเป็นการเจรจาเชิงนโยบายระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทยและเมียนมา เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยมีข้อเสนอเชิงรูปธรรมหลายประการ ได้แก่
- เพิ่มโควตาแรงงานเมียนมา
เพื่อทดแทนแรงงานจากกัมพูชาและ สปป.ลาว ที่มีจำนวนน้อยและไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดแรงงาน - พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ปรับปรุงระบบให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพ และลดขั้นตอนที่เปิดช่องให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์ - ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี
หลายมติที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหา ในทางปฏิบัติกลับไม่สอดคล้อง ส่งผลให้มีการขยายเวลาซ้ำ ๆ โดยไม่แก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
“ประเด็นที่ไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี จะต้องถูกนำกลับไปทบทวนใหม่ เราต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่แค่ขยายเวลาไปเรื่อย ๆ” นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าว - จัดตั้งศูนย์บริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit)
เนื่องจากศูนย์ CI ที่เชียงใหม่ต้องดูแลแรงงานจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ ทำให้เกิดความแออัดและเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของแรงงาน จึงเสนอให้มีรถโมบายให้บริการตามพื้นที่ชายแดน เช่น อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่ออำนวยความสะดวกและลดความเสี่ยง
“หลักการสำคัญคือต้องไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการค้ามนุษย์ และไม่ใช้แรงงานเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน เราต้องคุ้มครองแรงงานบนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน โดยไม่แบ่งแยกสัญชาติ” ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวย้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการให้สัมภาษณ์ คณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร มีกำหนดเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร เพื่อรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะทั้งหมด เสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาในระดับนโยบายต่อไป







