“เชือดสิงห์ให้ลิงดู!” วิกฤตต่างด้าวสวมสิทธิ์ชายแดนเหนือ สังคมตั้งคำถาม… ไทยเดินมาถึงจุดเสี่ยงความมั่นคงได้อย่างไร
1 min read
กระแสสังคมกำลังเดือดหลังปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการ “สวมสิทธิ์สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบ” ในพื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ซึ่งกลายเป็นข่าวอื้อฉาวทั่วประเทศ เมื่อเจ้าหน้าที่ออกหมายจับ กว่า 30 ราย ทั้งกลุ่มนายหน้า เครือข่ายผู้อำนวยความสะดวก และเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการนำคนต่างด้าวเข้าไปอยู่ในระบบทะเบียนราษฎรโดยมิชอบ
คดีนี้ถูกมองว่าอาจเป็น “การเชือดสิงห์ให้ลิงดู” เพื่อหยุดยั้งปัญหาที่ฝังรากลึกมายาวนานในพื้นที่ชายแดน ซึ่งซับซ้อนทั้งด้านกฎหมาย การทุจริต และผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนมหาศาล
เงื่อนปมใหญ่: สวมสิทธิ์ตั้งแต่ขั้น “บัตร 0 – 0-89” ต่อคิวยื่นสถานะถาวร–โอนสัญชาติ
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า ขบวนการสวมสิทธิ์ดำเนินมานานหลายปี ผ่านขั้นตอนเริ่มต้นตั้งแต่ทำ “บัตรบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน” หรือที่เรียกกันว่า บัตรหัว 0 และ 0-89 ก่อนจะไหลไปถึงขั้นยื่นสถานะต่างด้าวถาวร และสุดท้ายคือ “โอนสัญชาติ”
ปัญหาสำคัญที่ถูกตั้งข้อสงสัยคือ…
มีบางราย มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไทย แต่ตัวจริงไม่ได้อยู่ในประเทศไทย
ตัวบุคคลอาจมีประวัติหรือข้อมูลชีวมาตรในประเทศต้นทางอยู่แล้ว
โครงข่ายเหล่านี้อาจใช้ช่องโหว่กฎหมายทะเบียนราษฎร และอาศัยผู้สนับสนุนภายในรัฐ
ทั้งหมดนี้สังคมหวั่นเกรงว่าจะนำไปสู่ความเสี่ยงด้าน ความมั่นคง–อาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ
คำถามแรง! ข่าวกรองหายไปไหน – รายงานแล้วไม่สนใจ หรือปิดหูปิดตา?
แม้พื้นที่ชายแดนจะมีทั้งหน่วยข่าวกรองและหน่วยความมั่นคงดูแลเข้มงวด แต่กลับเกิดเหตุขนาดนี้ได้ จึงเกิดคำถามในสังคมว่า
มีการรายงานภัยความมั่นคงขึ้นไปถึงส่วนกลางหรือไม่?
หากรายงานแล้วเหตุใดยังปล่อยให้เกิดการขยายตัวของเครือข่ายต่างด้าวผิดกฎหมาย?
การสวมสิทธิ์ระดับโครงสร้างเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยไม่มีใครสะดุด?
คดีครั้งนี้จึงถูกจับตาว่าอาจโยงถึงผู้มีตำแหน่งสูงกว่าที่ปรากฏในหมายจับ หรืออาจมีการ “รับผิดแทน” เพื่อปิดเส้นทางข้อมูลก็เป็นไปได้
ช่องโหว่วีซ่า–ทะเบียนบ้าน กลายเป็นประตูทองให้แก๊งต่างชาติ
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า แม้การมีชื่อในทะเบียนบ้านไทย (ทร.13) จะไม่ใช่สิทธิ์พำนักหรือสัญชาติ แต่ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพความถูกต้องทางกฎหมาย เช่นเดียวกับการใช้วีซ่านักท่องเที่ยวที่สามารถต่ออายุและแจ้ง ตม. ทุก 90 วัน ทำให้บางเครือข่ายสามารถอยู่ในไทยได้นานผิดปกติ
ช่องว่างเหล่านี้เคยถูกใช้โดยเครือข่ายผิดกฎหมาย เช่น กลุ่มสแกมเมอร์ออนไลน์ นักลงทุนเทา หรือผู้ประกอบกิจการผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ทำให้ไทยถูกมองว่าเป็น “ทางผ่านและฐานบัญชาการ” ขบวนการข้ามชาติในบางกรณี
สังคมกังวล—หากได้สถานะถาวรหรือโอนสัญชาติ โดยไม่มีการตรวจสอบเข้ม จะยิ่งสร้างความเสี่ยง
ภายใต้นโยบายตามมติ ครม. วันที่ 29 ตุลาคม 2567 ว่าด้วยการพิจารณาสถานะคนต่างด้าวถาวร ประชาชนจำนวนมากจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะหากผู้สวมสิทธิ์สามารถเลื่อนสถานะขึ้นไปถึงขั้นสูงสุดได้ อาจกลายเป็น ความเสียหายด้านความมั่นคง ที่ยากจะแก้ไขในอนาคต
หลายฝ่ายจึงเรียกร้องให้รัฐบาล “ทบทวนกระบวนการทั้งระบบ” ตั้งแต่การทำบัตรบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน, การลงทะเบียนบ้าน, การออกเอกสารรับรอง ไปจนถึงกระบวนการตรวจสอบประวัติและตัวตนจริง เพื่ออุดช่องโหว่ทั้งหมด
สรุป : คดีนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่คือบททดสอบศักดิ์ศรีระบบความมั่นคง–ทะเบียนราษฎรไทย
การออกหมายจับครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่จับผู้กระทำผิด แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า ประเทศไทยต้องเลือกทางเดินใหม่ เพื่อป้องกันการแปรสภาพของกลุ่มสวมสิทธิ์ต่างด้าวให้กลายเป็นประชากรถาวรโดยไม่ตั้งใจ
นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการ “เชือดสิงห์ให้ลิงดู” เพื่อยับยั้งขบวนการที่สังคมรู้มานานแต่ไม่เคยถูกลากเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจัง
